หมูสะเต๊ะ
ประวัติ
สะเต๊ะ เนื้อสัตว์ย่างหอม ๆ กรุ่นกลิ่นเครื่องเทศลอยมาแต่ไกล เรียกความหิวของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้อย่างชะงัด อีกทั้งสีสันของเนื้อย่างที่ออกสีเหลือง ๆ เล็กน้อย ก็ยังล่อหน้าล่อตาจนอดไม่ได้ที่จะชิมสักไม้ และหลาย ๆ ไม้ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา และความอร่อยขนาดนี้ก็ย่อมเป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายคน แต่เอ๊ะ ! กินสะเต๊ะกันมาตั้งนาน มีใครรู้บ้างไหมคะว่า หมูสะเต๊ะ เนื้อสะเต๊ะ หรือไก่สะเต๊ะ ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมีที่มามาจากไหน ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่ามารู้จักประวัติสะเต๊ะไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าจ้า
ด้วยกลิ่นเครื่องเทศที่หอมแรงของสะเต๊ะ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า สะเต๊ะไม่ใช่อาหารต้นตำรับของบ้านเราอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีประวัติบ่งบอกแน่ชัดว่า เจ้าของต้นตำรับของสะเต๊ะจริง ๆ นั้นอยู่ที่ไหน มีเพียงแค่การสันนิษฐานถึงประเทศแถบอาหรับ เนื่องจากลักษณะของสะเต๊ะไปละม้ายคล้ายคลึงกับเคบับ (Kebab) อาหารพื้นเมืองของชาวอาหรับนั่นเอง
แต่ที่เรารู้จักสะเต๊ะมาจนถึงทุกวันนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ประเทศอินโดนีเซียเป็นต้นตอที่ดัดแปลงเคบับของชาวอาหรับ ให้เป็นเนื้อย่างชุ่มซอสเครื่องเทศ กินคู่กับน้ำจิ้มถั่วป่น และอาจาดรสเปรี้ยวเข้ากันเป็นอย่างดี หลังจากนั้นสะเต๊ะก็ถูกแพร่ขยายความอร่อยเหมือนวัฒนธรรมของประเทศ แขกไปใครมาเยี่ยมเยือน ทางอินโดนีเซียก็จะจัดเสิร์ฟสะเต๊ะ ความอร่อยจานเด็ดให้ได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย จนกระทั่งสะเต๊ะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา
แต่ถึงแม้อินโดนีเซียจะเป็นจุดเริ่มต้นของสะเต๊ะ แต่ไป ๆ มา ๆ สะเต๊ะกลับเป็นอาหารเลื่องชื่อประเทศไทย ด้วยสะเต๊ะที่แพร่หลายไปตามประเทศต่าง ๆ ก็จะมีสูตรเฉพาะของตัวเอง และโชคดีที่สะเต๊ะสูตรของบ้านเราถูกลิ้นของชาวต่างชาติมากกว่าประเทศอื่น ๆ
หมูสะเต๊ะสมัยนี้หากินแบบอร่อย ๆ ยากแล้วเนอะ แถมไม้เล็กกระจิ๋วเดียวกินไม่จุใจ ลองทำกินเองกันไหม ทำครั้งเดียวอิ่มไปทั้งครอบครัวเลย แจกตั้งแต่วิธีหมักหมูไปจนครบถึงวิธีทำน้ำจิ้ม และเคล็ดลับการย่างหมูด้วย
ใครสนใจสูตรหมูสะเต๊ะเทพ ๆ ที่เสิร์ฟมาพร้อมสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะ และสูตรน้ำจิ้มอาจาดแบบครบเครื่อง เห็นชัด ๆ เน้น ๆ ในทุกขั้นตอนการทำ วันนี้เรามีวิธีทำหมูสะเต๊ะเด็ด ๆ ที่สว่านี้มาฝาก เพื่อใครสนใจอยากลองทำกินเอง ท้าให้ลองเลย เพราะทั้งภาพสวย ทั้งน่ากิน เด็ดดวง !
ส่วนผสม หมูสะเต๊ะ
สะโพกหมู
ใครสนใจสูตรหมูสะเต๊ะเทพ ๆ ที่เสิร์ฟมาพร้อมสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะ และสูตรน้ำจิ้มอาจาดแบบครบเครื่อง เห็นชัด ๆ เน้น ๆ ในทุกขั้นตอนการทำ วันนี้เรามีวิธีทำหมูสะเต๊ะเด็ด ๆ ที่สว่านี้มาฝาก เพื่อใครสนใจอยากลองทำกินเอง ท้าให้ลองเลย เพราะทั้งภาพสวย ทั้งน่ากิน เด็ดดวง !
ส่วนผสม หมูสะเต๊ะ
สะโพกหมู
กระเทียมโขลก 2 กำมือ
ผงขมิ้น 1/2 ทัพพีเล็ก (**ทัพพีขนาดเล็ก และอย่าใส่ผงขมิ้นเยอะ** เพราะจะทำให้หมูมีรสเฝื่อน ๆ ได้ บางคนก็ไม่ใส่)
ผงยี่หร่า 1 ทัพพี
ผงกะหรี่ 2 1/2 ทัพพี (ผงกะหรี่อันนี้ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด ถ้าเป็นขมิ้นกับยี่หร่า บางคนไม่ใส่ก็ได้ แต่ผงกะหรี่ห้ามขาด ใส่ยิ่งเยอะยิ่งหอม)
น้ำตาลทราย 2 ทัพพี
เมล็ดผักชีโขลก 2 กำมือ
กะทิกล่องสำเร็จรูป
นมสด
ไม้สำหรับเสียบหมูสะเต๊ะ (ควรเลือกซื้อไม้ที่เสียบหมูสะเต๊ะโดยตรง เพราะมันจะมีขนาดเล็กกว่าไม้เสียบลูกชิ้นอยู่หน่อยนึง ห่อละ 25 บาทเอง หมูประมาณ 1 กิโลกรัม เสียบออกมาได้ 138 ไม้)
วิธีหมักหมูสะเต๊ะ
หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้น ๆ
ใส่กระเทียมโขลกลงไป (ใส่เยอะ ๆ)
ตามด้วยผงขมิ้น ผงยี่หร่า ผงกะหรี่ น้ำตาลทราย เมล็ดผักชีโขลก กะทิ และนมสดเล็กน้อย (หมักให้มันนุ่ม ๆ ไม่ถึงกับแฉะ)
เคล้าส่วนผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ครึ่งวัน
นำหมูที่หมักได้ที่แล้วมาเสียบไม้ (ส่วนตัวไม่ชอบกินมันหมูเลยไม้เสียบมาด้วย)
ก่อนปิ้งนำหมูไปชุบในน้ำกะทิให้ทั่ว
พอหมูเริ่มสุกให้ทากะทิซ้ำลงไปอีกครั้ง (เพื่อความนุ่มและไม่กระด้าง)
ปิ้งจนสุก จัดใส่จาน เตรียมไว้เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มสะเต๊ะ และน้ำจิ้มอาจาด
สูตรน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
ส่วนผสมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
กะทิสด 500 กรัม
น้ำพริกแกงมัสมั่น 200 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 3 ทัพพี
น้ำมะขามเปียก 4 ทัพพี
เกลือป่นเล็กน้อย
ถั่วลิสงคั่วป่น 5 ทัพพี
วิธีทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
แบ่งใส่หัวกะทิพอประมาณใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอร้อน
ใส่น้ำพริกแกงมัสมั่นลงไป จากนั้นเทกะทิที่เหลือลไปทั้งหมด
หมายเหตุ : น้ำพริกแกงมัสมั่นใช้แค่ 2 ขีดก็พอ บางคนลดต้นทุนโดยใช้พริกแกงเผ็ดมาปนเยอะ ๆ ๆ เพราะน้ำพริกแกงมัสมั่นจะมีราคาแพงกว่าน้ำพริกแกงเผ็ด เพราะมีส่วนผสมของลูกจันทร์ด้วย แค่เฉพาะลูกจันทร์ (สีส้ม ๆ) จะมีราคาแพงมาก ราคากิโลกรัมละ 1,200 บาทเลยล่ะ
ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป (ใส่ประมาณ 3 ทัพพีก่อน อย่าเพิ่งใส่เยอะในตอนแรก เดี๋ยวจะหวานเกิน หากยังไม่พอใจค่อยเติมทีหลังเอา)
ตามด้วยน้ำมะขามเปียก (อย่าปรุงให้เปรี้ยวเกินไป เพราะน้ำจิ้มชนิดนี้ห้ามเปรี้ยว เวลากินแล้วรสหวานจะออกนำ แทบไม่ได้รสเปรี้ยวเลย) ตัดรสด้วยเกลือป่นเล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน
หมายเหตุ : ต้องปรุงให้รสหวานนำ แต่ไม่ใช่หวานมาก ให้ความเปรี้ยวมีแค่ 0.1% พอ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้รสเปรี้ยวเลย
สุดท้ายใส่ถั่วลิสงคั่วป่นลงไป คนผสมให้เข้ากัน (ใส่ประมาณ 5 ทัพพีก่อนนะ อย่าเพิ่งใส่เยอะ เพราะเดี๋ยวมันจะขึ้นอืดเองเวลาที่น้ำจิ้มเย็น หากยังไม่ข้นพอเราเติมภายหลังได้)
หมายเหตุ : บางคนก็เห็นเขาใส่ขนมปังลงไปด้วย ขอบอกว่าวิธีนั้นเป็นการลดต้นทุนการใช้ถั่วลิสงป่น แต่น้ำจิ้มสะเต๊ะที่มีส่วนผสมของขนมปังจะเก็บไว้นาน ๆ ไม่ได้)
เคี่ยวส่วนผสมจนเดือด ปิดไฟ เตรียมไว้
หมายเหตุ : น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ จะคล้าย ๆ กับน้ำของขนมจีนน้ำพริก เพียงแต่ขนมจีนน้ำพริกไม่ใส่น้ำพริกแกงมัสมั่น แต่ใส่พริกแห้งแช่น้ำแล้วคั้นเอาน้ำพริกมาผัดกับกะทิ และผัดกับน้ำมันเอาไว้ลอยหน้า
น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะและขนมจีนน้ำพริกจะใส่น้ำมะขามเปียกเช้นเดียวกัน แต่ขนมจีนจะเพิ่มดีกรีความเปรี้ยวด้วยน้ำมะกรูด มะนาว และน้ำส้มซ่า แต่โดยรวมแล้ววิธีการจะคล้าย ๆ กัน แล้วน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะก็สามารถเอาไปทำเป็นเมนู พระรามลงสรง ก็ได้อีกด้วย ตัวน้ำจิ้มหากกินไม่หมดเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน
ส่วนผสมน้ำจิ้มอาจาด
น้ำส้มสายชู 4 ส่วน
น้ำตาลทราย 3.5 ส่วน
เกลือ 1/2 ส่วน
น้ำเปล่าเล็กน้อย (เพื่อเบรคความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู)
แตงกวาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
พริกแดงซอย
หอมแดงซอย
วิธีทำน้ำจิ้มอาจาด
เติมส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำเปล่าเล็กน้อยใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอมีความหนืดนิด ๆ (ชิมรสให้ได้ เปรี้ยวนำ หวานตามมาติด ๆ เค็มท้าย ๆ เลยนะ) จากนั้นพักทิ้งไว้จนเย็น
ผสมแตงกวาซอย พริกแดงซอย และหอมแดงซอยเข้าด้วยกันแล้วนำลงไปแช่ในน้ำอาจาดที่เย็นแล้ว เตรียมไว้ (หากยังไม่กินก็ไม่ต้องแช่ทิ้งไว้ก็ได้ แต่เราว่าน้ำจิ้มอาจาดจะอร่อยต้องแช่แตงกวาทิ้งไว้นาน ๆ ให้มันเข้าเนื้อ)
จัดหมูสะเต๊ะใส่จาน เสิร์ฟพร้อมขนมปังปิ้งกรอบ น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ และน้ำจิ้มอาจาด
วิธีหมักหมูสะเต๊ะ
หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้น ๆ
ใส่กระเทียมโขลกลงไป (ใส่เยอะ ๆ)
ตามด้วยผงขมิ้น ผงยี่หร่า ผงกะหรี่ น้ำตาลทราย เมล็ดผักชีโขลก กะทิ และนมสดเล็กน้อย (หมักให้มันนุ่ม ๆ ไม่ถึงกับแฉะ)
เคล้าส่วนผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ครึ่งวัน
นำหมูที่หมักได้ที่แล้วมาเสียบไม้ (ส่วนตัวไม่ชอบกินมันหมูเลยไม้เสียบมาด้วย)
พอหมูเริ่มสุกให้ทากะทิซ้ำลงไปอีกครั้ง (เพื่อความนุ่มและไม่กระด้าง)
ปิ้งจนสุก จัดใส่จาน เตรียมไว้เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มสะเต๊ะ และน้ำจิ้มอาจาด
สูตรน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
ส่วนผสมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
กะทิสด 500 กรัม
น้ำพริกแกงมัสมั่น 200 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 3 ทัพพี
น้ำมะขามเปียก 4 ทัพพี
เกลือป่นเล็กน้อย
ถั่วลิสงคั่วป่น 5 ทัพพี
วิธีทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
แบ่งใส่หัวกะทิพอประมาณใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอร้อน
ใส่น้ำพริกแกงมัสมั่นลงไป จากนั้นเทกะทิที่เหลือลไปทั้งหมด
หมายเหตุ : น้ำพริกแกงมัสมั่นใช้แค่ 2 ขีดก็พอ บางคนลดต้นทุนโดยใช้พริกแกงเผ็ดมาปนเยอะ ๆ ๆ เพราะน้ำพริกแกงมัสมั่นจะมีราคาแพงกว่าน้ำพริกแกงเผ็ด เพราะมีส่วนผสมของลูกจันทร์ด้วย แค่เฉพาะลูกจันทร์ (สีส้ม ๆ) จะมีราคาแพงมาก ราคากิโลกรัมละ 1,200 บาทเลยล่ะ
ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป (ใส่ประมาณ 3 ทัพพีก่อน อย่าเพิ่งใส่เยอะในตอนแรก เดี๋ยวจะหวานเกิน หากยังไม่พอใจค่อยเติมทีหลังเอา)
ตามด้วยน้ำมะขามเปียก (อย่าปรุงให้เปรี้ยวเกินไป เพราะน้ำจิ้มชนิดนี้ห้ามเปรี้ยว เวลากินแล้วรสหวานจะออกนำ แทบไม่ได้รสเปรี้ยวเลย) ตัดรสด้วยเกลือป่นเล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน
หมายเหตุ : ต้องปรุงให้รสหวานนำ แต่ไม่ใช่หวานมาก ให้ความเปรี้ยวมีแค่ 0.1% พอ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้รสเปรี้ยวเลย
สุดท้ายใส่ถั่วลิสงคั่วป่นลงไป คนผสมให้เข้ากัน (ใส่ประมาณ 5 ทัพพีก่อนนะ อย่าเพิ่งใส่เยอะ เพราะเดี๋ยวมันจะขึ้นอืดเองเวลาที่น้ำจิ้มเย็น หากยังไม่ข้นพอเราเติมภายหลังได้)
หมายเหตุ : บางคนก็เห็นเขาใส่ขนมปังลงไปด้วย ขอบอกว่าวิธีนั้นเป็นการลดต้นทุนการใช้ถั่วลิสงป่น แต่น้ำจิ้มสะเต๊ะที่มีส่วนผสมของขนมปังจะเก็บไว้นาน ๆ ไม่ได้)
เคี่ยวส่วนผสมจนเดือด ปิดไฟ เตรียมไว้
หมายเหตุ : น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ จะคล้าย ๆ กับน้ำของขนมจีนน้ำพริก เพียงแต่ขนมจีนน้ำพริกไม่ใส่น้ำพริกแกงมัสมั่น แต่ใส่พริกแห้งแช่น้ำแล้วคั้นเอาน้ำพริกมาผัดกับกะทิ และผัดกับน้ำมันเอาไว้ลอยหน้า
น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะและขนมจีนน้ำพริกจะใส่น้ำมะขามเปียกเช้นเดียวกัน แต่ขนมจีนจะเพิ่มดีกรีความเปรี้ยวด้วยน้ำมะกรูด มะนาว และน้ำส้มซ่า แต่โดยรวมแล้ววิธีการจะคล้าย ๆ กัน แล้วน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะก็สามารถเอาไปทำเป็นเมนู พระรามลงสรง ก็ได้อีกด้วย ตัวน้ำจิ้มหากกินไม่หมดเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน
ส่วนผสมน้ำจิ้มอาจาด
น้ำส้มสายชู 4 ส่วน
น้ำตาลทราย 3.5 ส่วน
เกลือ 1/2 ส่วน
น้ำเปล่าเล็กน้อย (เพื่อเบรคความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู)
แตงกวาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
พริกแดงซอย
หอมแดงซอย
วิธีทำน้ำจิ้มอาจาด
เติมส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำเปล่าเล็กน้อยใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอมีความหนืดนิด ๆ (ชิมรสให้ได้ เปรี้ยวนำ หวานตามมาติด ๆ เค็มท้าย ๆ เลยนะ) จากนั้นพักทิ้งไว้จนเย็น
ผสมแตงกวาซอย พริกแดงซอย และหอมแดงซอยเข้าด้วยกันแล้วนำลงไปแช่ในน้ำอาจาดที่เย็นแล้ว เตรียมไว้ (หากยังไม่กินก็ไม่ต้องแช่ทิ้งไว้ก็ได้ แต่เราว่าน้ำจิ้มอาจาดจะอร่อยต้องแช่แตงกวาทิ้งไว้นาน ๆ ให้มันเข้าเนื้อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น